ERP (Enterprise Resource Planning)

การเตรียมตัวก่อนซื้อ โปรแกรม ERP และ ERP คืออะไร

สำหรับท่านที่กำลังมองหา โปรแกรม ERP มาใช้กับระบบ Accounting & Distribution ในองค์กร เชื่อได้ว่าข้อมูลที่จะกล่าวดังต่อไปนี้ จะช่วยให้ท่าน เลือกโปรแกรมได้ตรงตามความต้องการ และสามารถนำไปใช้งานได้จริง มากกว่าการที่ไม่ได้เตรียมการอะไรเลย ในอดีตหลายองค์กรมักเริ่มต้นการใช้ IT ด้วยการพัฒนาระบบ Accounting & Distribution ขึ้นมาด้วยตนเอง ซึ่งอาจจะพัฒนาด้วยบุคคลากรภายใน (In-house Development) หรือจ้าง Software House มาพัฒนาให้ ตามความต้องการเฉพาะ แต่ละองค์กรนั้น ซึ่งการใช้วิธีพัฒนาเอง หรือจ้างพัฒนานี้ ก็มีทั้งข้อดีและข้อเสีย ที่แตกต่างกัน

erp คืออะไร

erp ย่อมาจาก Enterprise Resource Planning

erp คือ การวางแผนทรัพยากรทางธุรกิจขององค์กร เพื่อให้ใช้ประโยชน์จากทรัพยากรขององค์กร ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยระบบจะเชื่อมโยงระบบงาน ต่างๆ ภายในองค์ เช่น งานขาย,งานทรัพยากรมนุษย์,งานบัญชีการเงิน,งานโครงการ, งานผลิต รวมถึงระบบการกระจายสินค้า เข้าไว้ด้วยกัน

ระบบ erp เบื้องต้น

ระบบ erp เบื้องต้น Accounting & Distribution ใช้สำหรับองค์กรที่ยังไม่เคยใช้ระบบ erp มาก่อนเพื่อที่จะทอลองใช้เบื้องต้นดูเพื่อให้เกิดการเรียนรู้จากนั้นค่อยพัฒนาปรับขึ้นไปหลังจากที่ได้มีประสบการณ์ ระบบ erp เบื้องต้นแล้วเพื่อให้งานมีประสิทธิภาพมากขึ้น

ราคา erp

ราคาขี้นอยู่กับตัวโปรแกรมที่นำไปใช้ระบบ Accounting & Distribution ว่าเป็นระบบขนาดใหญ่ที่มีความซับซ้อนหรือขนาดเล็ก

ข้อดีของการพัฒนา โปรแกรม ERP เอง

1. ได้ระบบตรงตามความต้องการ 100% เพราะผู้พัฒนา ย่อมต้องทำโปรแกรม ตามที่ผู้ใช้ต้องการ โดยไม่มีเงื่อนไข

2. สามารถควบคุมปัจจัยต่างๆ ในการพัฒนาได้มากกว่า เช่น การเร่งเวลา การเพิ่มบุคคลากร การแก้ไขรายละเอียด (Specification) ของโปรแกรม และการรักษาความลับทางธุรกิจ เป็นต้น

ข้อเสียของการพัฒนา โปรแกรม ERP เอง

1. ต้นทุนในการพัฒนาจะสูง และควบคุมงบประมาณได้ยาก เพราะองค์กรต้องจ่ายเงินเดือนประจำให้โปรแกรมเมอร์ และต้องซื้อเครื่องไม้เครื่องมือ เพื่อการพัฒนาด้วยตนเอง แต่เพียงผู้เดียว ไม่อาจเฉลี่ยค่าใช้จ่าย ให้กับผู้อื่นได้ และมีความเสี่ยง หากทำเองแล้วไม่สำเร็จ

2. ค่าใช้จ่าย ในการบารุงรักษาโปรแกรม จะสูงแปรผันตามการลงทุน ในการพัฒนาโปรแกรม เพราะจะต้อง ว่าจ้างโปรแกรมเมอร์ ที่เขียนงานไว้เพื่อดูแลระบบต่อไป อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งโดยปกติแล้ว กาลังงานที่ใช้ในการดูแล (Maintain) จะต้องน้อยกว่าขั้นตอนการพัฒนาเสมอ

3. องค์กรอาจถูกพนักงานโปรแกรมเมอร์ กลั่นแกล้งหรือต่อรอง กับองค์กร เพื่อประโยชน์ตนเอง ซึ่งองค์กร มักตกเป็นเบี้ยล่าง เพราะซอฟต์แวร์ ที่โปรแกรมเมอร์เขียนไว้ ไม่สามารถหาบุคคลอื่นมาดูแล หรือสานงานต่อได้ เมื่อโปรแกรมเมอร์ลาออก ก็ต้องทิ้งโปรแกรมตามไปด้วย หรือทนใช้ไป ท่ามกลางความเสี่ยง เหมือนยืนอยู่บนเส้นด้าย

4. องค์กรไม่อาจมุ่งทรัพยากรทั้งหมด เพื่อสร้างความเชี่ยวชาญเฉพาะ อุตสาหกรรม ที่ดาเนินการอยู่ได้อย่างแท้จริง เพราะต้องคอยมาบริหาร การพัฒนาโปรแกรม ควบคู่ไปด้วย ทั้งๆที่ไม่ใช่ความเชี่ยวชาญหลัก ขององค์กร

5. องค์กรมักตามไม่ทัน กับเทคโนโลยีด้าน IT ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว เพราะบุคลากรภายใน ไม่ได้ถูกผลักดันจากภาวะการแข่งขัน ในการพัฒนาโปรแกรม กับองค์กรอื่น

6. บุคลากรหรือโปรแกรมเมอร์ ภายในองค์กร มักมีประสบการณ์ และความเชี่ยวชาญน้อยกว่า โปรแกรมเมอร์ จากบริษัท Software House หรือจากบริษัทผลิตโปรแกรมสาเร็จรูป เพราะบริษัทเหล่านั้น มีการถ่ายทอด แลกเปลี่ยนประสบการณ์กัน ระหว่าง Senior Programmers และ Junior Programmers ได้อย่างทั่วถึง และมีการพัฒนาโปรแกรม ตลอดเวลา เป็นระยะเวลานาน ทาให้มีความเชี่ยวชาญ เป็นมืออาชีพมากกว่า

7. รูปแบบการพัฒนาโปรแกรมเองนี้ มักเป็นทางเลือกที่มีลักษณะเฉพาะอยู่มาก เช่น มักเป็นระบบ ที่เกี่ยวเนื่องกับความลับ หรือ Know How ขององค์กรที่ไม่ต้องการเปิดเผย ให้ผู้อื่นทราบ หรือต้องการความรวดเร็วเร่งด่วน ในการพัฒนา จากความต้องการ ที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ เช่น ระบบ Billing ของธุรกิจให้บริการ โทรศัพท์เคลื่อนที่ในประเทศไทย ที่มีโปรโมชั่นใหม่ทุกๆเดือน หรือระบบการขายแบบ MLM (Multi Level Marketing) ที่มีความซับซ้อน ในการขายและการคิด Commission เป็นต้น

บทสรุปของการพัฒนา โปรแกรม ERP เอง

การเลือกใช้ ERP Software ต้องมีการกำหนดความต้องการอย่างชัดเจน และนำปัจจัยดังกล่าวข้างต้นไปคัดเลือก Software และบริษัทที่ปรึกษา จะทำให้องค์กรประสบความสำเร็จในการนำ ERP Software มาใช้เพื่อปรับปรุงการทำงานขององค์กรให้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นคุ้มค่าเงินลงทุน

ข้อดีของการจ้างพัฒนา โปรแกรม ERP เอง

1. ได้ระบบตามข้อตกลงการว่าจ้าง ซึ่งขึ้นอยู่กับรายละเอียด และความชัดเจนของสัญญา

2. ต้นทุนในการพัฒนา และดูแลรักษาจะต่ำ กว่าการพัฒนาเอง เพราะเมื่อพัฒนาโปรแกรมเสร็จแล้ว องค์กรไม่ต้องรับภาระเงินเดือน โปรแกรมเมอร์ต่อ และไม่ต้องลงทุน เครื่องมือในการพัฒนาระบบเอง

3. สามารถควบคุมงบประมาณ การพัฒนาได้ หากมีความรอบคอบ ในการกาหนดขอบเขต และความรับผิดชอบของคู่สัญญา

4. ลดความเสี่ยง จากการผูกมัดโปรแกรม กับตัวบุคคล คือบุคลากรขององค์กรเอง ทั้งความเสี่ยงจากการลาออก หรือไม่สามารถทางานต่อไปได้

5. องค์กรสามารถ มุ่งพัฒนาความเชี่ยวชาญด้านอื่น มากขึ้นโดยไม่ต้องกังวล กับงานการพัฒนาโปรแกรม ที่ตนเองไม่มีความเชี่ยวชาญ

6. ผู้รับจ้างเป็นผู้รับผิดชอบ ในความสำเร็จของงาน ในนามนิติบุคคล ซึ่งเป็นความผูกพันด้วยกฏหมายแพ่ง และพาณิชย์ จึงทาให้ลดความเสี่ยง ในการลงทุน กรณีทำไม่สาเร็จตามแผนงาน ที่กาหนดไว้

ข้อเสียของการพัฒนา โปรแกรม ERP เอง

1. โปรแกรมที่ได้ จะขาดความยืดหยุ่น และขาดการเตรียมการ สำหรับ การเปลี่ยนแปลงโปรแกรมในอนาคต เพราะผู้รับจ้าง จะผลิตโปรแกรมด้วยวิธีการ ที่เร็วที่สุด ถูกที่สุด เพื่อประหยัดต้นทุน ในการพัฒนาและให้มีกำไร และจะพัฒนาตามรายละเอียด ข้อสัญญา ที่มีการระบุไว้ เท่านั้น

2. โปรแกรมที่ได้ จะเป็นโปรแกรมที่ไม่ได้รับ การพัฒนาอย่างต่อเนื่อง หากต้องการจะเพิ่มความสามารถใหม่ๆ ก็ต้องมีการว่างจ้างเพิ่มเติมเป็นคราวๆ ไป

3. ต้นทุนการจ้างพัฒนา จะสูงกว่าโปรแกรมมาตรฐาน เพราะเป็นการทำให้เฉพาะราย ซึ่งไม่เกิดการเฉลี่ยของต้นทุนไปสู่รายอื่นๆได้

4. ต้องผูกติดอยู่กับองค์กรที่รับจ้างเขียน ไม่สามารถจ้างผู้อื่น ดูแลรักษาระบบ แทนได้

บทสรุปของการจ้างพัฒนา โปรแกรม ERP เอง

การจ้างพัฒนาโปรแกรม โดยองค์กรภายนอก จะได้รับความนิยมหรือเหมาะสม ก็ต่อเมื่อองค์กร ไม่มีทางเลือก ที่จะใช้โปรแกรมมาตรฐาน และเป็นระบบ ที่ไม่ต้องการการเปลี่ยนแปลง ที่บ่อยมาก เป็นระบบที่เฉพาะเจาะจง ไม่สามารถทำซ้ำ เพื่อใช้ในองค์กรอื่นได้ เพราะหากโปรแกรม ที่จ้างพัฒนาไปนั้น สามารถนำไปทำซ้ำ เพื่อขายให้กับองค์กรอื่นได้ ท้ายที่สุดแล้ว โปรแกรมนั้น จะกลายเป็นโปรแกรมมาตรฐาน ในที่สุดอยู่ดี

ข้อดีของโปรแกรมมาตรฐาน

1. สามารถเลือกระดับการลงทุนได้ ตั้งแต่ไม่กี่พันบาท ไปจนถึงหลายล้านบาท ตามความสามารถของโปรแกรม และความต้องการขององค์กร ทำให้องค์กร มีทางเลือกที่หลากหลาย และเลือกลงทุนได้อย่างเหมาะสม

2. หากเป็นโปรแกรม ที่ได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง จะมีการเพิ่มเติมความสามารถใหม่ๆ ตามการเปลี่ยนแปลง ของภาวะทางธุรกิจอยู่เสมอ

3. มีผู้ใช้งานหลากหลาย หากเป็นโปรแกรมที่อยู่ในตลาดมานาน มีลูกค้าเป็นจานวนมาก ก็จะลดความเสี่ยง กับการเจอ Bugของโปรแกรมขณะใช้งาน

4. สามารถชม และทดสอบความสามารถ ของโปรแกรม ก่อนการตัดสินใจซื้อ ทำให้เห็นภาพการทางาน ของโปรแกรม ที่ชัดเจนว่า เวลาใช้งานจริง ต้องทำอย่างไร ติดปัญหาอะไร

5. มีทางเลือกที่หลากหลาย สามารถเลือกทางเลือกที่ดีที่สุด หรือเหมาะที่สุด สำหรับองค์กร สามารถสอบถาม Reference จากผู้ใช้องค์กรอื่น เพื่อลดความเสี่ยงในการลงทุน

6. มีการบริการบำรุงรักษา หรือบริการอื่นๆ จากผู้ขายหรือผู้ผลิตโปรแกรม ซึ่งอาจมีหรือไม่มี ค่าใช้จ่ายให้พิจารณาเรียกใช้ได้

7. มักติดตามเทคโนโลยีด้าน IT และนำมาใช้ผนวก กับโปรแกรมมาตรฐาน เพราะถูกผลักดัน จากผู้ผลิต และผู้พัฒนา รายอื่นๆ

ข้อเสียของโปรแกรมมาตรฐาน

1. ผู้ใช้ต้องปรับการทำงานให้เป็นไปตาม Flow หรือความสามารถของโปรแกรม ซึ่งรูปแบบการทางานบางอย่าง ขององค์กร อาจต้องเปลี่ยนแปลงไป และอาจมีผลกระทบ กับการทำงาน ตามโครงสร้างองค์กรเดิม ซึ่งอาจเกิดการต่อต้าน จากพนักงาน ที่ยึดติดกับวิธีการทางานแบบเดิมๆ

2. ความสามารถบางอย่าง ของโปรแกรม อาจไม่ตรงกับความต้องการขององค์กร โปรแกรมมาตรฐานบางตัว โดยเฉพาะจากตัวแทนขาย ที่ไม่ได้สิทธิในการแก้ไข โปรแกรมหรือไม่มี Source Code และโปรแกรมราคาถูก มักไม่รับแก้ไขโปรแกรมให้ ซึ่งอาจทำให้การใช้โปรแกรม มีความยุ่งยาก หรืออาจใช้ไม่ได้ อย่างสมบูรณ์

3. การขอแก้ไขโปรแกรมมาตรฐาน ที่มากเกินไป มักได้รับการปฏิเสธจากผู้ขาย หรือหากรับที่จะแก้ไข ก็จะเสี่ยงกับการเจอ Bug ของทำให้โปรแกรมไม่มีเสถียรภาพ และประสบความยุ่งยากในการ Upgrade โปรแกรม ใน Version ถัดๆไปหากการแก้ไขนั้น กระทบกับโครงสร้างหลัก ของโปรแกรมมาตรฐาน

4. ก่อนการใช้งาน หากพิจารณาไม่รอบคอบพอ เมื่อซื้อมาแล้วพบว่า ความสามารถของโปรแกรม ไม่ตรงกับที่เข้าใจในตอนแรก หรือบางประเด็น อาจลืมพิจารณาลงไปในรายละเอียด เมื่อมาพบข้อจากัดในภายหลัง มักจะประสบกับความยุ่งยาก กับผู้ขายจนเกิดเป็นประเด็นข้อพิพาท โดยเฉพาะหากชำระเงินไปหมดแล้วไม่สามารถคืนได้

5. โปรแกรมมาตรฐานบางตัว ที่เพิ่งทำเสร็จใหม่ๆ แต่รีบออกมาจำหน่าย ซึ่งไม่ได้รับการทดสอบมาเป็นอย่างดี เมื่อเวลานำไปใช้งานจริง กลับพบว่าผู้ใช้ ต้องกลายเป็น ผู้ทำการทดสอบโปรแกรมแทน หรือเป็น Bug Tester ให้ นอกจากจะทำให้เสียเวลา เสียเงิน และเสียกำลังคน ไปโดยเปล่าประโยชน์แล้ว ยังทำให้เสียโอกาสทางธุรกิจ ไปอย่างน่าเสียดาย หากก่อนการซื้อ ไม่ได้ทดสอบโปรแกรมมาตรฐานนั้น ดีพอ

6. กรณีซื้อโปรแกรมมาตรฐานที่มีราคาแพง ที่ต้องมีการ Implement โปรแกรมด้วยค่าใช้จ่ายที่สูง และคิดค่าบริการเป็นรายวัน มักมีการแยกสัญญา ระหว่างค่าโปรแกรมมาตรฐานและค่า Implement และต้องจ่ายค่าโปรแกรมไปก่อน เมื่อตอนติดตั้ง ความเสี่ยง จึงตกกับผู้ซื้อ หาก Implement ไม่สาเร็จก็ไม่อาจเรียกร้องอะไรได้ ผู้ขายอาจเสนอให้ซื้อบริการ Implement เพิ่มเติมไปเรื่อยๆ แต่มักไม่ได้รับประกัน ว่าจะใช้ได้หรือไม่ หรือใช้ได้เมื่อไหร่ หากโครงการล้มเหลว ก็จะเกิดความเสียหาย กับผู้ซื้อในปริมาณการลงทุนที่สูงมาก

บทสรุปการใช้โปรแกรม ERP มาตรฐาน

ในการใช้ระบบ ERP หรือ ระบบ Accounting & Distribution ในยุคสมัยปัจจุบัน ไม่ควรเลือกวิธีการพัฒนาเอง หรือจ้างพัฒนา เพราะระบบ ERP เป็นระบบที่มีการพัฒนา มานานนับสิบปี และค่อนข้างมีความเป็นมาตรฐาน ที่ลงตัวแล้ว เป็นส่วนมาก อีกทั้งมีโปรแกรมมาตรฐาน และผู้จัดจาหน่ายให้เลือกพิจารณาเป็นจานวนมาก ในท้องตลาดทั้งในประเทศ และต่างประเทศ ตั้งแต่ขนาดเล็กใช้งานบน PC Stand alone ธรรมดาๆไปจนถึงระบบบน Mini/Mainframe ขนาดใหญ่ องค์กร ควรเลือกใช้ระบบ ที่มีความสามารถ ที่เหมาะสม กับความต้องการ ด้วยงบประมาณการลงทุนที่คุ้มค่า ซึ่งวิธีการคัดเลือกระบบ ERP ที่เหมาะสมจะมีแนวทางอย่างไร ให้ประสบความสาเร็จจะได้กล่าวต่อไป

หากความต้องการขององค์กร ไม่มีโปรแกรมมาตรฐานตัวใดรองรับได้ ควรใช้วิธีพบกันครึ่งทาง คือพิจารณาดูว่า องค์กรสามารถปรับไปใช้ วิธีการของโปรแกรมได้หรือไม่ โดยเปรียบเทียบทั้งข้อดีและข้อเสีย เพราะวิธีการของโปรแกรมมาตรฐาน มักพบว่าเป็นวิธีการที่ได้รับการยอมรับแล้ว โดยองค์กรส่วนใหญ่ หากพบว่าไม่สามารถใช้ได้ จึงควรใช้วิธีแก้ไข (Modify) โปรแกรมมาตรฐาน เป็นทางเลือกสุดท้าย

โปรแกรม Sage 300 ERP (Accpac)